nosferatu-2024-robert-eggers-art

ส่องศิลปะชวนหลอนใน Nosferatu (2024) ผลงานล่าสุดของ Robert Eggers

จากภาพยนต์ขาวดำสู่การตีความใหม่ด้วยสีสันสไตล์ Eggers

Nosferatu (นอสเฟอราตู) ฉบับปี 2024 ที่กำกับโดย Robert Eggers (โรเบิร์ต เอ็กเกอรส์) ไม่ใช่แค่การนำภาพยนตร์สยองขวัญคลาสสิกกลับมาสร้างใหม่ แต่เป็นการตีความที่เต็มไปด้วยชั้นเชิงทางศิลปะ Eggers ผู้สร้างชื่อจากผลงานอย่าง The Witch (2015) และ The Lighthouse (2019) ขึ้นชื่อเรื่องการสร้างบรรยากาศที่เข้มข้น สมจริง และเต็มไปด้วยรายละเอียดทางประวัติศาสตร์ สำหรับ Nosferatu เขาได้นำเอาแก่นแท้ของต้นฉบับภาพยนตร์เงียบปี 1922 ของ F.W. Murnau ซึ่งเป็นหนึ่งในผลงานศิลปะแบบ Expressionism (เอ็กซ์เพรสชันนิสม์) ที่ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ มาผสมผสานเข้ากับสไตล์กอธิคอันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง

Nosferatu (2024)

ต้นฉบับปี 1922 คือการดัดแปลงนวนิยายแดร็กคูล่าของ Bram Stoker อย่างไม่เป็นทางการ ซึ่งเล่าเรื่องราวของโทมัส ฮัตเตอร์ (Thomas Hutter) ตัวแทนอสังหาริมทรัพย์ที่เดินทางไปยังปราสาทของเคานต์ออร์ล็อก (Orlok) ในทรานซิลเวเนีย (Transylvania) และต้องเผชิญหน้ากับปีศาจดูดเลือด Eggers นำโครงเรื่องพื้นฐานนี้มา แต่เพิ่มมิติทางอารมณ์และความมืดหม่นลงไปอย่างลึกซึ้ง การตีความใหม่นี้ยังคงไว้ซึ่งกลิ่นอายของยุคสมัยแห่งความเสื่อมถอยและความสิ้นหวัง ผสมผสานกับความโรแมนติกที่บิดเบี้ยวและชวนขนลุก


แก่นเรื่องความรักอันมืดมนในโลกที่กำลังล่มสลาย

เรื่องราวหลักของ Nosferatu 2024 คือความรักที่มืดมนและน่าสะพรึงกลัวระหว่างหญิงสาวบริสุทธิ์ผู้มีชื่อว่าเอลเลน ฮัตเตอร์ (Ellen Hutter) และเคานต์ Orlok แวมไพร์โบราณ Eggers บรรยายถึงโลกในยุคศตวรรษที่ 19 ราวกับเมืองที่กำลังป่วยไข้และเสื่อมสลาย ไม่ว่าจะเป็นวิสมาร์ (Wismar) เมืองท่าทางตอนเหนือของเยอรมนีที่ค่อยๆ ถูกความมืดเข้าครอบงำ หรือปราสาทของ Orlok ที่เหมือนรังของปีศาจ เรื่องราวพัฒนาไปอย่างเชื่องช้า แต่เต็มไปด้วยความตึงเครียดทางจิตใจ Ellen ไม่ใช่เพียงเหยื่อ แต่เป็นตัวละครที่มีพัฒนาการทางอารมณ์ ซับซ้อน และถูกดึงดูดเข้าหาพลังงานลึกลับของ Orlok ขณะเดียวกัน Orlok ก็ไม่ได้ถูกนำเสนอเป็นเพียงปีศาจกระหายเลือด แต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่แบกรับความโดดเดี่ยวและความปรารถนาอันยาวนาน

พล็อตเรื่องจะแสดงให้เห็นถึงความบ้าคลั่ง ความหลงใหล และการเสียสละ ท่ามกลางฉากหลังของยุโรปยุคเก่าที่จวนเจียนจะพังทลาย ความสัมพันธ์ระหว่าง Ellen และ Orlok คือหัวใจสำคัญที่ Eggers ตั้งใจจะขุดลึก มันคือการเต้นรำอันน่าสะพรึงกลัวระหว่างความงามบริสุทธิ์และความชั่วร้ายโบราณ ซึ่งนำไปสู่บทสรุปที่หลีกเลี่ยงไม่ได้


งานภาพสไตล์กอธิคและสถานที่จริงที่เพิ่มความขลัง

จุดเด่นที่สุดอย่างหนึ่งของ Nosferatu ฉบับ Eggers คือการสร้างสรรค์งานภาพที่งดงามและน่าขนลุกไปพร้อมๆ กัน ผู้กำกับเลือกใช้สไตล์กอธิคที่เน้นบรรยากาศมืดหม่น แสงเงาจัดจ้าน และองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมที่น่าพรั่นพรึง ภาพยนตร์ถ่ายทอดความรู้สึกของความอับชื้น ความเก่าแก่ และความตายที่คืบคลานเข้ามา

การใช้แสงในเรื่องมีความสำคัญอย่างยิ่ง Eggers และผู้กำกับภาพ Jarin Blaschke ที่เคยร่วมงานกันใน The Lighthouse สร้างสรรค์ภาพด้วยการใช้แสงธรรมชาติ แสงเทียน และแสงไฟน้ำมันเป็นหลัก ซึ่งให้ความรู้สึกเหมือนภาพวาดสีเข้มในยุคเก่า แสงเทียนที่ริบหรี่สร้างเงาประหลาดและเพิ่มความลึกลับ ขณะที่แสงจันทร์สีเงินยวงสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างสูงตระหง่าน ทำให้ฉากต่างๆ ดูเหมือนหลุดออกมาจากฝันร้าย

นอกจากนี้ Eggers ยังมีความตั้งใจที่จะถ่ายทำในสถานที่จริงที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ทั่วยุโรป ไม่ว่าจะเป็นปราสาทและคฤหาสน์เก่าแก่ในสาธารณรัฐเช็ก เยอรมนี หรือโรมาเนีย อย่างปราสาทคอร์วิน (Corvin Castle) ปราสาทที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปและเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโรมาเนียการใช้สถานที่จริงเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงฉาก แต่เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราว มันเพิ่มความสมจริง ความหนักแน่นทางประวัติศาสตร์ และความรู้สึกของเวลาที่ผ่านไปยาวนาน ซึ่งสอดคล้องกับความเป็นอมตะของแวมไพร์ สถานที่เหล่านี้มี “วิญญาณ” ของตัวเอง และช่วยเสริมสร้างบรรยากาศที่หนาวเหน็บและโดดเดี่ยวได้อย่างมีพลัง


เครื่องแต่งกายที่บอกเล่าเรื่องราว

งานออกแบบเครื่องแต่งกายโดย Linda Muir ซึ่งเป็นผู้ร่วมงานประจำของ Eggers ก็เป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบที่โดดเด่นและมีส่วนสำคัญในการเล่าเรื่อง เครื่องแต่งกายใน Nosferatu 2024 ได้รับแรงบันดาลใจจากแฟชั่นในยุคศตวรรษที่ 19 โดยมีความสมจริงในรายละเอียด แต่ก็แฝงไว้ซึ่งการตีความเชิงสัญลักษณ์ แต่ละชุดไม่ได้เป็นเพียงเสื้อผ้า แต่สะท้อนสถานะทางสังคม อารมณ์ และการเปลี่ยนแปลงภายในของตัวละคร

สำหรับเคานต์ Orlok เครื่องแต่งกายของเขาเน้นไปที่ความรู้สึกของความเก่าแก่ การเสื่อมสลาย และพลังอำนาจที่น่าสะพรึงกลัว เสื้อผ้าสีเข้มดูหม่นหมองและทรุดโทรม สะท้อนอายุขัยที่ยืนยาวและความเป็นอมตะที่แฝงด้วยความทุกข์ทรมาน รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เช่น ปกเสื้อที่สูง หรือรูปทรงที่ผิดปกติ ก็ช่วยเสริมลุคของสิ่งมีชีวิตที่ “ไม่ใช่คน” ได้เป็นอย่างดี

the-clothing-in-the-movie-nosferatu
the-clothing-in-the-movie-nosferatu

ส่วน Ellen Hutter เครื่องแต่งกายของเธอมีการเปลี่ยนแปลงไปตามการเดินทางทางจิตใจและอารมณ์ของตัวละคร ในช่วงแรก ชุดของเธอดูเรียบง่าย อ่อนโยน สะท้อนถึงความบริสุทธิ์และความเปราะบาง เมื่อเรื่องราวดำเนินไปและเธอถูกดึงดูดเข้าสู่โลกแห่งความมืดของ Orlok เสื้อผ้าของเธอก็อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียด เพื่อสะท้อนความสับสน ความกลัว หรือแม้กระทั่งความหลงใหลที่ซ่อนอยู่ การออกแบบที่พิถีพิถันนี้ช่วยให้ผู้ชมเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงทางจิตวิทยาของ Ellen ผ่านภาพลักษณ์ภายนอก


มากกว่าแค่หนังสยองขวัญ แต่คืองานศิลปะแห่งความมืด

Nosferatu 2024 ของ Robert Eggers จึงไม่ใช่เพียงแค่หนังสยองขวัญที่เน้นฉากตกใจ แต่เป็นงานศิลปะที่ใช้ความสยองขวัญเป็นสื่อกลางในการสำรวจธีมที่ลึกซึ้ง มันคือการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างความเคารพต่อต้นฉบับ การตีความที่สดใหม่ และสไตล์การกำกับอันเป็นเอกลักษณ์ของ Eggers ทุกองค์ประกอบ ทั้งงานภาพ แสงเงา สถานที่ เครื่องแต่งกาย และการแสดง ล้วนทำงานร่วมกันเพื่อสร้างบรรยากาศที่ทรงพลัง ชวนขนลุก และงดงามในความมืดหม่น

ภาพยนตร์เรื่องนี้ชวนให้ผู้ชมดำดิ่งลงไปในโลกที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ความปรารถนา และความตาย แต่ในขณะเดียวกันก็เห็นถึงความงามอันน่าขนลุกที่ซ่อนอยู่ในความเสื่อมทราม มันคือบทกวีแห่งความมืดที่ถ่ายทอดผ่านภาษาภาพยนตร์ เชิญชวนให้ผู้ชมไม่เพียงแต่หวาดกลัว แต่ยังได้ชื่นชมงานสร้างอันประณีต และมองเห็น Nosferatu 2024 ในฐานะผลงานศิลปะทางสายตาและอารมณ์ที่ยากจะลืมเลือน

หากใครสนใจอยากไปเที่ยวชมดื่มด่ำกับบรรยากาศสถานที่ถ่ายทำอย่างเยอรมนีหรือปราก เมืองสุดโรแมนติคของสาธารณรัฐเช็ก สามารถจองทัวร์ยุโรปกับทาง Thaifly.com ได้เลยที่ เที่ยวยุโรปกับ Thaifly

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : IMDb (Nosferatu), NOSFERATU – Official Trailer